ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ความเสี่ยงที่ติดต่อได้

ไวรัสตับอักเสบบี ทำศัลยกรรมได้ไหม

ไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis-B-in-preganancy : HBV) ตัวการสำคัญของมะเร็งตับ ติดต่อได้ด้วยการติดเชื้อทางเลือด เช่น

ไวรัสตับอักเสบบี

คุณกำลังมีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการเบื้องต้นของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เบื้องต้นแทบจะไม่สามารถสังเกตได้เลย

  • มีไข้
  • ตัวเหลือง
  • ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
  • อาเจียร
  • เบื่ออาหาร
  • อ่อนเพลีย
  • ผื่น
  • ปวดข้อ

โดยอาการเหล่านี้หากไม่ได้รับการตรวจโดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ การตัดชิ้นเนื้อตับไปเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ การตรวจนั้นต้องทำซ้ำทุก 6 เดือน

นอกจากนี้ในผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน โดยไม่ได้ทำการรักษาก็จะส่งผลให้ป่วยเรื้อรัง จนกลายเป็นพาหะของโรคและไม่อาจรักษาให้หายขาดได้นั่นเอง ดังนั้นหากมีประวัติคนในครอบครัว คู่สมรส หรือแม้แต่คู่รัก ที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ก็ควรตรวจหาเชื้อเสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่า คู่รัก คู่สมรสของคุณไม่ได้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เพื่อการเตรียมตัวสู่อนาคตในการมีบุตรนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอับเสบบี ติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ โดยไวรัสตับอักเสบบี ส่งผลให้เซลล์ตับอักเสบและถูกทำลาย หากปล่อยไว้นานก็จะอยู่ในภาวะเรื้อรังและทำให้เกิดผังผืด ตับแข็งและเป็นมะเร็งตับได้ ดังนั้นเมื่อคุณแม่หรือสามี มีเชื้อไวรัสนี้ก็มีโอกาสที่ลูกน้อยจะได้รับเชื้อถึง 90% เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องกระตุ้นวัคซีนและอิมมูโกลบูลินให้แก่ลูกน้อยหลังคลอด ภายใน 12 ชั่วโมง

คุณแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (hepatitis-B-in-preganancy : HBV) มีความเสี่ยงต่อ

  • เกิดภาวะเบาหวานและคามดันโลหิตสูง ขณะตั้งครรภ์
  • ร่วมกับส่งผลให้มีเลือดออกผิดปกติบริเวณช่องคลอดและ
  • อาจไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้มีโอกาสตับวายระหว่างตั้งครรภ์

ลูกน้อยที่เกิดจากคุณแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีความเสี่ยงต่อ

  • มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด
  • เลือดออกในสมอง
  • น้ำหนักตัวต่ำ หรือ สูง กว่ามาตรฐาน

ผู้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับตักเสบบี

  • ผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 โดยปกติแล้วผู้ที่เกิดหลังจากปี พ.ศ. 2535 จะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอีกเสบบี ทำให้ลดความเสี่ยงได้
  • มีประวัติเคยใช้สารเสพติดด้วยเข็มฉีดยา
  • ติดเชื้อ เอชไอวี (HIV)
  • เคยรับเลือด หรือ ปลูกถ่ายอวัยวะ
  • เคยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
  • ญาติหรือคนในครอบครัวมีประวัติ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอกเสบซี ตับแข็งและหรือมะเร็งตับ
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • ผ่านการสัก (tattoo) เจาะบริเวณร่างกายและการฝังเข็ม ฉีดยาหรือผ่าตัด (ที่ไม่ใช่สถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน)
  • บุคคลากรทางการแพทย์ที่เคยได้รับอุบัติเหตุจากอุปกรณ์การรักษา เช่น เข็ม มีดผ่าตัด
  • ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ

ไวรัสตับอักเสบบี วิธีการรักษา

โดยมากเมื่อตรวจพบว่าคุณมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย แพทย์จะจ่ายยาทั้งยาชนิดรับประทานและวัคซีน ทั้งนี้ก็จะมีการนัดพบอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการต่อไป

การดูแลตัวเองของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • แจ้งคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเข้ารับการฉีกวัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี
  • สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • งดดื่มแอลกฮอล์
  • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจเลือดเพื่อรีเช็คอาการและติดตามทุก 6 เดือน
  • ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

คำถามที่พบบ่อย

เป็นไวรัสตับอักเสบบี ทำศัลยกรรมได้ไหม

ก่อนเข้ารับการทำศัลยกรรมควรตรวจสุขภาพโดยละเอียดเพื่อที่จะให้แพทย์วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เบื้องต้นแพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพ เช่น

  • ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
  • ไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg)
  • การทำงานของไต
  • การแข็งตัวของเลือด
  • ภูมิคุ้มกันไวรัส HIV
  • เอกซเรย์ปอด

ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการทำศัลยกรรม โดยหลังจากตรวจสุขภาพโดยละเอียดและพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) สามารถเข้ารับการทำศัลยกรรมได้ เช่น เสริมจมูก ดูดไขมัน (ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์)