เป็นต้อหิน (Glaucoma) ทำเลสิค (Lasik) ได้ไหม
ต้อหิน (glaucoma) โรคของดวงตาที่เรียกว่าน้อยคนมากๆ ที่จะรู้ตัวตั้งแต่เริ่มเป็น มารู้ตัวอีกทีก็แทบจะสายไปแล้ว บางรายอาจถึงขั้นตาเกือบบอดเลยก็มี “ต้อหิน” เป็นโรคหนึ่งที่ค่อนข้างรุนแรงและควรรักษาโดยเร็ว เมื่อรู้ตัว
ต้อหิน (glaucoma) เป็นการทำลายขั้วประสาทตา มีผลกระทบต่อสมอง และเมื่อประสาทตาถูกทำลายก็จะทำให้ตาบอดและไม่มีทางรักษาให้กลับมามองเห็นได้
ต้อกระจก (cataract) หรือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาเสื่อมสภาพไปตามวัยที่มากขึ้น สังเกตุได้จากดวงตาที่เคยสดใสกลับขุ่นมัว มองเห็นไม่ชัด เหมือนมีความขุ่นที่ดวงตา
ต้อลม (pinguecula) หรือ เกิดจากเยื่อบุตาโดนลม หรือ รังสียูวีมากจนทำให้เยื่อบุตาขาวเสื่อมสภาพกลายเป็นแผ่นเยื่อบางๆ สีขุ่น มีความหนามากขึ้น มองเห็นได้บริเวณหัวตาหรือหางตา ลักษณะเหมือนมีอะไรมาติดที่ตา ร่วมกับคันตา แสบตา หรือแพ้แสง แม้ว่าต้อลมจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ แต่ก็รบกวนการมองเห็นได้เช่นกัน เมื่อรู้สึกว่ามีอาการ สามารถหยดน้ำตาเทียม ได้เช่นกัน
ต้อเนื้อ (pterygium) ลักษณะคล้ายต้อลมแต่จะมองเห็นได้ชัดบริเวณตาดำ ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม
ในผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงของโรคต้อหิน มักไม่แสดงอาการใดๆ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตตัวเอง หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณให้คุณต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการดังกล่าว
โรคต้อหินพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย แต่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเฉลี่ย 60-70 ปี ปัจจุบันมีผู้เป็นต้อหินมากถึง 65 ล้านคน (ทั่วโลก) และยังคาดว่าโรคต้อหินจะเกิดได้กับผู้ที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ และจำนวนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
พญ.เกศรินทร์ เกียรติเสวี (จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางโรคต้อหิน โรงพยาบาลกรุงเทพ)
สัญญาณเริ่มต้นของผู้มีความเสี่ยงเป็นต้อหิน
- ปวดตา และอาจปวดมากจนทำให้อาเจียร
- ปวดศรีษะทุกเช้า
- มองดวงไฟแล้วมีวงกลมล้อมรอบดวงไฟ
- ตาแดง กระจกตาบวมหรือขุ่น
- ความดันดวงตาสูง
สาเหตุที่ทำให้เป็น “ต้อหิน”
- อาการแทรกซ้อนจากอุบัติเหตุ การผ่าตัดโรคดวงตา หรือ โรคทางกายภาพอื่นๆ
- ความดันในลูกตาสูง
- น้ำหล่อเลี้ยงในลูกตาผิดปกติ ไม่สมดุลในการสร้างขึ้นและไหลออก ทำให้เกิดการอุดตันส่งผลให้ความดันลูกตาสูงได้
- พันธุกรรม คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นต้อหิน
- กลุ่มมีปัญหาสายตาสั้น หรือ ยาว ในระยะสูงมากๆ
- โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติทางระบบเลือดและเส้นเลือด
- ผู้ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนานๆ
5 รูปแบบของโรคต้อหิน
- ต้อหินแบบมุมปิด : Primary Angle-Closure Glaucoma (พบได้ร้อยละ 10) แบ่งเป็น ต้อหินชนิดเฉียบพันและเรื้อรัง
- ต้อหินมุมเปิด : Primary Open-Angle Glaucoma (พบได้ร้อยละ 60-70) แบ่งเป็นกลุ่มที่ความดันตาปกติและรวมทั้งความดันสูง
- ต้อหินชนิดแทรกซ้อน : Secondary Glaucoma เกิดจากความผิดปกติอื่นๆ เช่น ยาหยอดตาบางชนิด การอักเสบ อุบัติเหตุต่อดวงตา การเปลี่ยนกระจกตา
- ต้อหินในทารกและเด็กเล็ก : Congenital Glaucoma ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากพ่อหรือแม่มีอาการ ลูกมีโอกาสเป็นได้มากถึงร้อยละ 25
- ต้อหินแบบเม็ดสี เกิดขึ้นจากพันธุกรรม และผู้ที่มีสายตาสั้นในอายุ 20-30 ปี
มาถึงตรงนี้คงสงสัยแล้วว่า ในผู้มีปัญหาสายตาสั้น และยังพบว่ามีความเสี่ยงในการเป็นต้อหินนั้น จะสามารถ ทำเลสิค (Lasik) ได้หรือไม่
เลสิค (Laser-Assisted In Situ Keratomilleusis : LASIK) เป็นการใช้เลเซอร์ในการรปรับความโค้งของกระจกตากระทำการโดยจักษุแพทย์ ด้วยการแยกชั้นกระจกตาด้วยใบมีด หรือ เทคโนโลยีใดๆ ตามการวินิจฉัยของแพทย์
เลสิคเหมาะกับใคร
- ผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
- เป็นการแก้ไขผู้มีปัญหาด้านสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง
- ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมแก่บุตร
- ไม่มีโรคกระจกตา เช่น กระจกตาย้วย ตาแห้งมาก จอประสาทตาหลุด เบาหวาน (ชนิดควบคุมไม่ได้) โรคภูมิแพ้รุนแรง
รูปแบบการทำเลสิค (Lasik)
การทำเลสิคมีหลายวิธีด้วยเทคโนโลยีที่ต่างกัน แต่ยังคงให้ผลที่ได้เหมือนกัน ความแตกต่างในการรักษาแพทย์จะเลือกรูปแบบการดูแลให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
เป็นต้อสามารถทำเลสิคได้ (กรณีที่ยังไม่มีอาการรุนแรง) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า อาการของต้อลมนั้นอยู่ในระดับไหน โดยจักษุแพทย์จะทำการตรวจโดยละเอียดและวินิจฉัยว่าสามารถทำได้หรือไม่ หากทำได้วิธีใดของเลสิคจึงจะเหมาะสมกับคุณ
การเตรียมตัวก่อนทำเลสิค
- งดใส่คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- วันที่เข้ารับการทำเลสิค งดฉีดน้ำหอม สเปรย์ เครื่องสำอาง และไม่สวมเครื่องประดับ
- เตรียมแว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติในการกันรังสี UV 100%