สิวใต้ผิวหนัง (acne) จำเป็นต้องกดออกหรือไม่

สิวใต้ผิวหนัง

สิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สิวอุดตัน (Comedones) และสิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอุดตัน (Comedones) เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยไขมัน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดตุ่มนูนสีขาวหรือสีดำบนผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่

ชนิดของสิว
  • สิวอุดตันหัวขาว (Closed Comedones) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวขนาดเล็ก เกิดจากไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันรูขุมขนจนปิดสนิท
  • สิวอุดตันหัวดำ (Open Comedones) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีดำขนาดเล็ก เกิดจากไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันรูขุมขนจนเปิดออก ทำให้มีอากาศเข้าไปสัมผัสกับไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทำให้กลายเป็นสีดำ

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนที่อุดตัน ส่งผลให้เกิดตุ่มแดง บวม และอาจมีหนองหรือเลือดออก แบ่งออกเป็น 4 ชนิดย่อย ได้แก่

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก มักมีอาการเจ็บเล็กน้อย
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงที่มีหนองอยู่ภายใน มักมีอาการเจ็บเล็กน้อย
  • สิวหัวช้าง (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งขนาดใหญ่ มักมีอาการเจ็บปวด
  • สิวซีสต์ (Cyst) มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดใหญ่ มักมีอาการเจ็บปวดและบวม

สิวเป็นไต (Nodular Acne) หรือ สิวอักเสบในบริเวณใต้ชั้นผิวกำพร้าระหว่างต่อมไขมันและผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง มักพบบริเวณใบหน้า คอ หน้าอก หลัง ไหล่ ฯลฯ 

สิวเกิดจากอะไร

เกิดจากการหมักหมมของเคราติน ไขมันและเชื้อแบคทีเรียบริเวณรูขุมขนอย่างรุนแรง ร่วมกับการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมัน เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนอักเสบและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นตุ่มนูนแข็ง มักมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย

สิวเป็นไตอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

  • พันธุกรรม
  • ฮอร์โมนเพศชาย
  • สภาพอากาศร้อน
  • ความเครียด
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารระคายเคือง
  • การรับประทานอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์

สิวใต้ผิวหนัง หรือ สิวเป็นไต (Nodular Acne)  มีลักษณะอย่างไร 

  • เป็นตุ่มนูนแข็ง มีขนาดตั้งแต่ 1-10 มิลลิเมตรขึ้นไป
  • มักพบบริเวณใบหน้า คอ หน้าอก หลัง ไหล่ ฯลฯ
  • มีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส
  • อาจมีหนองหรือเลือดออก

รักษาสิวมีไตใต้ผิวหนังอย่างไร ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

การรักษาสิวเป็นไตควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากสิวชนิดนี้มักมีอาการรุนแรงและอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยยาทาหรือยารับประทาน เช่น

  • ยาทาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide, Retinoid, Azelaic Acid
  • ยารับประทานที่มีส่วนผสมของ Isotretinoin, Antibiotics, Hormonal Therapy
  • ดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม เช่น 
    • ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสารลดการอุดตัน เช่น กรด Salicylic Acid, Benzoyl Peroxide
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารระคายเคือง
    • เลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ

กดสิว อันตรายหรือไม่

กดสิวอันตรายไหม

การกดสิวมีอันตรายหากทำไม่ถูกวิธี 

  • ทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น หากกดสิวด้วยแรงมากเกินไป อาจทำให้สิวเกิดการอักเสบมากขึ้น มีอาการบวมแดง เจ็บปวด และอาจเกิดรอยแผลเป็นได้
  • ทำให้เกิดการกระจายของเชื้อแบคทีเรีย หากมือไม่สะอาดหรือใช้อุปกรณ์กดสิวที่ไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนมือหรืออุปกรณ์กดสิวกระจายไปยังบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า ทำให้เป็นสิวเพิ่มขึ้น
  • ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อผิว หากกดสิวด้วยแรงมากเกินไป อาจทำให้เนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นเสียหาย ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยบุ๋มหรือรอยแผลเป็นได้

โดยทั่วไปแล้ว สิวไตไม่ควรกดออกเอง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น มีอาการบวมแดง เจ็บปวด และอาจเกิดรอยแผลเป็นได้ โดยเฉพาะหากกดสิวด้วยแรงมากเกินไป อาจทำให้สิวมีการอักเสบมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้น ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยบุ๋มหรือรอยแผลเป็นได้

กดสิวยังไงไม่ให้อักเสบและเกิดรอยแผลเป็น 

  • เลือกสิวที่เหมาะสม ควรเลือกสิวอุดตันที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวหรือสีดำเท่านั้น ไม่ควรกดสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น
  • ล้างมือให้สะอาด ก่อนกดสิวควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่า เพื่อขจัดเชื้อแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อนมากับมือ
  • เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ควรใช้อุปกรณ์กดสิวที่สะอาดและปลอดเชื้อ เช่น ไม้กดสิว สำลี แผ่นฆ่าเชื้อ
  • กดสิวอย่างเบามือ ใช้ไม้กดสิวกดเบาๆ บริเวณหัวสิว เพื่อให้หัวสิวหลุดออกมา ไม่ควรกดสิวด้วยแรงมากเกินไป เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น
  • ทายาฆ่าเชื้อ หลังกดสิวควรทายาฆ่าเชื้อบริเวณที่กดสิว เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดการติดเชื้อ

กดสิวอย่างถูกวิธีและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น

กดสิว
  • กดสิวบริเวณที่แสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้มองเห็นหัวสิวได้ชัดเจน
  • กดสิวในจุดที่รูขุมขนเปิดกว้าง เช่น บริเวณจมูก คาง หน้าผาก
  • หลีกเลี่ยงการกดสิวบริเวณที่มีรอยแดงหรือบวม เพราะอาจทำให้รอยแดงหรือบวมรุนแรงขึ้น
  • หากกดสิวแล้วเกิดรอยแดงหรือบวม ควรใช้ยาทาลดการอักเสบ เช่น ยาทาที่มีส่วนผสมของ Hydrocortisone
  • หลีกเลี่ยงการกดสิวบ่อยๆ เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น

รอยดำรอยแดงจากสิว เกิดจากเม็ดสีเมลานินในผิวหนังถูกกระตุ้นให้สร้างมากขึ้นจากการอักเสบของสิว รอยดำมักพบบริเวณใบหน้า คอ หน้าอก หลัง และไหล่ รอยแดงมักพบบริเวณใบหน้า คอ และหลัง รอยดำรอยแดงจากสิวอาจหายได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยดำรอยแดง

การรักษารอยดำรอยแดงจากสิว มีดังนี้

  • การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสารลดการอุดตันรูขุมขน เช่น กรด Salicylic Acid, Benzoyl Peroxide หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารระคายเคือง ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันแสงแดดกระตุ้นให้รอยดำรอยแดงเข้มขึ้น
  • การใช้ยาทา ยาทาที่ใช้ในการรักษารอยดำรอยแดงจากสิว เช่น กรด Tranexamic Acid, กรด Kojic Acid, กรด Azelaic Acid, กรด Retinoic Acid, กรด Glycolic Acid, กรด Lactic Acid, กรด Mandelic Acid, กรด Salicylic Acid, กรด Glycolic Acid, กรด Lactic Acid, กรด Mandelic Acid, กรด Salicylic Acid
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ การรักษาด้วยแสงเลเซอร์เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำรอยแดงจากสิว มีหลายวิธีในการทำเลเซอร์ เช่น
    • Q-switched 
    • Nd:YAG laser
    • Fractional CO2 
    • Picosure laser

หากรอยดำรอยแดงจากสิวไม่หายหรือมีความรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้การกดสิวไตเพื่อลดปัญหาอื่นๆ ตามมา ควรไปพบแพทย์กดสิวอย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สะอาดและปลอดเชื้อในการกดสิว โดยจะใช้เทคนิคการกดสิวอย่างเบามือและระมัดระวัง เพื่อให้สิวได้รับหลุดออก ไม่เกิดการอักเสบรุนแรง และลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น